สปอยล์แบบจัดเต็ม อนิเมะ Overlord Season 03 Episode 12 (ส่วนที่ 3)



Overlord LN Vol 09 - Chap 4 Massacre (ตอนที่ 3)

/ Overlord Light Novel Volume 09 - Chapter 4 Massacre (ตอนที่ 3)

ส่วนที่ 3 นี้คือเนื้อเรื่องของนิยายเล่มที่ 9 บทที่ 4 ตอนที่ 3 ซึ่งต่อจากตอนที่ 2 (ส่วนที่ 2) ของโพสต์ก่อนหน้าเลย

หมายเหตุ: บางเหตุการณ์อาจถูกข้ามฉากไปเมื่อทำเป็นอนิเมะ และอาจมีเนื้อเรื่องที่สปอยล์เกินตอนไป
หมายเหตุ2: เนื้อเรื่องของเล่มที่ 9 บทที่ 4 ตอนที่ 3 นี้ คาดว่าจะตรงกับเนื้อเรื่องของอนิเมะ ซีซั่น 3 ตอนที่ 12 เช่นกัน หรืออาจจะเกินไปตอนที่ 13 ก็เป็นได้

VVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVV

บทที่ 4 การสังหารหมู่


ตอนที่ 3


เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน มันเหมือนกับว่าเขาถูกดึงเข้ามาในฝันร้าย

ยศตำแหน่งสี่อัศวิน - ยศที่เป็นของกลุ่มนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิบาฮารุท - ตอนนี้ดูเหมือนมันเป็นอะไรที่พื้นๆ (TLN: หรือแปลว่า ไม่สำคัญ) อย่างน่าตกใจ

สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแออย่างเขาจะภูมิใจในตำแหน่งนั้นได้อย่างไร? นั่นเป็นเรื่องตกใจอย่างมากที่เขาได้รับ เสียงร่ำไห้ที่ไม่สามารถยับยั้งได้มาถึงหูของนินบูรุ มันเป็นเสียงสะอื้นของผู้คนที่ผลักดันตัวเองผ่านขีดจำกัดของความกลัวและความสิ้นหวัง มันเหมือนกับเด็ก - ไม่ มันเป็นการร่ำไห้อย่างทุกข์ทรมานของเหล่าคนที่ลดระดับลงจนกลายเป็นเด็ก ผู้คนที่ร้องไห้อยู่นั้นคือเหล่าอัศวินของจักรวรรดิ

เขาได้ยินคำอ้อนวอน "วิ่งหนีกันเถอะ"

มันเป็นคำอ้อนวอนของเหล่าอัศวินผู้ที่ - ดวงตาเต็มไปด้วยความน่าเวทนา - ที่ได้เห็นการเข่นฆ่าอันน่าเวชของเหล่าเพื่อนมนุษย์โดยเครื่องจักรสังหาร

น่าเวทนาเป็นอันมากสำหรับโศกนาฏกรรมนี้ แม้แต่ศัตรูของราชอาณาจักร นั่นคืออัศวินของจักรวรรดิ ยังสวดมนตร์อธิษฐานให้พวกเขา

พวกเขาอธิษฐานว่าอย่างน้อยก็ให้มีคนรอด ซึ่งยิ่งมากยิ่งดี

พวกเขามาที่นี่เพื่อสังหารศัตรู อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดที่ไม่สงสารหรือไม่รู้สึกเวทนาในการเผชิญหน้าของการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา ผู้ใดที่ไม่เกิดอารมณ์ (TLN: หรือแปลว่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่สงสาร เฉย) คงเป็นปีศาจที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถพิจาณาได้ว่าเป็นมนุษย์

นินบูรุและเหล่าอัศวินได้ตระหนักว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองข้ามได้ว่าเป็นเรื่องของ "พวกเรากับพวกเขา"

อย่างไม่มีข้อสงสัย จากมุมมองของราชอาณาจักรและจักรวรรดิ ภัยพิบัติได้เกิดขึ้นกับ "พวกเขา" แต่เมื่อมองดูจากมุมมองของมนุษย์และสัตว์ประหลาด การเข่นฆ่าอย่างเหี้ยมโหดเกิดขึ้นกับ "พวกเรา"

"ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้น ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว"

สายตาของทุกคนหันมาทางไอนซ์ขณะที่เขาพูดอย่างเงียบๆ

ด้วยจำนวนคน 60,000 คนที่นี่ ไม่ใช่ทุกคนจะได้ยินเสียงของเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาสามารถบอกได้เมื่อคนที่อยู่ข้างๆหันหัวของพวกเขา และเมื่อรู้ว่าใบหน้าของคนใกล้เคียงหันไปหาไอนซ์ อูล โกน พวกเขาก็เช่นกันได้ถูกดึงดูดโดยการกระทำนั้น

ท้ายที่สุด ทุกการเคลื่อนไหวและท่าทางที่ถูกทำโดยผู้ที่ประพันธ์ (TLN: วางแผนและกำกับ) บทฝันร้าย - ไอนซ์ อูล โกน - เติมเต็มคนที่อยู่ที่นี่ด้วยความกลัวที่ไม่สามารถควบคุมได้

ไอนซ์ถอดหน้ากากเขาออกอย่างช้าๆ

เขาเปิดเผยกระโหลกศีรษะมันเงา ที่ไร้เนื้อ ไร้หนัง สู่โลก

หากสถานการณ์แตกต่างออกไป บางทีพวกเขาอาจคิดว่าไอนซ์สวมหน้ากากไว้ภายใต้หน้ากากของเขา อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาได้เห็น นินบูรุและอัศวินทั้งหมดของจักรวรรดิรู้สึกสิ้นหวังและหมดกำลังใจ

นี่เป็นเพราะพวกเขาได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของไอนซ์ อูล โกน ที่เป็นสัตว์ประหลาด

ผู้ใดที่สามารถควบคุมพลังอย่างนั้นได้ต้องไม่ใช่มนุษย์ มันเป็นเพราะพวกเขามีความคิดที่เชื่ออย่างนี้ทำให้พวกเขายอมรับได้ว่านี่เป็นความจริง

ไอนซ์ค่อยๆอ้าแขนเขาออก เขาดูเหมือนกำลังสวมกอดเพื่อนเอาไว้ - หรือนี่คือปีศาจที่กำลังสยายปีก? ในสายตาของทุกคนที่กำลังมองดู ตัวเขาดูเหมือนใหญ่ขึ้นสองเท่า สามเท่า หรือมากกว่านั้น

ในความเงียบ - ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกรีดร้องที่ทุกข์ทรมานของทหารของราชอาณาจักรจากระยะไกล (TLN: เอิ่ม เสียงซาวด์เอฟเฟก แผละ แผละ แผละ อ๊ากกกก! ม่ายยยยย! หนี! เป็นพื้นหลังสินะ) - ไอนซ์ยังคงสงบ และเสียงเบาๆก็ถูกส่งออกมาแต่มันชัดเจนเป็นพิเศษ

"- เสียงเชียร์ล่ะถ้าอย่างนั้น"

เขาพูดว่าอะไรนะ นินบูรุคิดระหว่างที่จ้องมองไอนซ์ด้วยปากที่เปิดของเขา

ทุกคนที่ได้ยินเขาคิดอย่างเดียวกัน และคำพูดของไอนซ์ที่ได้ถูกทวนซ้ำอีกครั้งไปตลอดทั้งกองทัพด้วยโทนเสียงต่ำ ผู้คนมากขึ้นและมากขึ้นก็หันสายตามามองที่เขา

ดังนั้นเมื่อความสนใจของทุกคนมาอยู่ที่ตัวเขา เขาได้พูดอีกครั้ง

"เสียงเชียร์เพื่อเฉิมฉลองให้กับอำนาจสูงสุดของข้า"

คนแรกที่ขยับคือมาเร่ ผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับนินบูรุ ด้านข้างของไอนซ์ ราวกับว่าถูกจุดประกาย เสียงปรบมือเริ่มขึ้นจากเหล่าทหาร จนกระทั่งมันกลายเป็นเสียงปรบมือโห่ร้องที่นานและดังสนั่น

แน่นอนว่า พวกเขาไม่ได้ส่งเสียงเชียร์จริงๆให้กับเขา

ไม่มีใครต้องการปรบมือ (TLN: หรือแปลว่า สรรเสริม ชมชอบ ยกย่องนับถือ) ให้กับคนที่นำเอาการฆ่าอย่างทารุณอันเหี้ยมโหดมากับตัวเขา นี่ไม่ใช่สงคราม นี่มันคือการเข่นฆ่า การสังหารหมู่

เพียงแต่ไม่มีใครในที่นี่ที่สามารถพูดคำเหล่านี้ได้ ไม่มีใครกล้า

การปรบมือที่ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนคือการรวมกันของความกลัวของอัศวิน และจากนั้นความรุนแรงของการปรบมือที่เกรียวกราว ที่ทุกคนคิดว่ามันไม่สามารถที่จะดังไปกว่านี้ได้ ดังเพิ่มขึ้นอีกหลายระดับ

นั่นเป็นเพราะดาร์คยังหนึ่งตัวได้เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ เส้นทางใหม่ของมันจะนำมันมาสู่กองทัพของจักรวรรดิ

ในการตอบสนองต่อสิ่งนั้น เสียงร้องของความสุขส่งออกมา

มันเป็นเสียงตะโกนสรรเสริญของเหล่าอัศวินให้กับไอนซ์ อูล โกน พวกเขาตะโกนอย่างเอาเป็นเอาตายที่ทำให้ลำคอของพวกเขาเลือดออก

กระนั้นดาร์คยังก็ไม่ลดความเร็วของมันลง

และดังนั้น เหล่าอัศวินได้ตะโกนดังขึ้นกว่าเดิม พวกเขาคิดว่าสัตว์ร้ายกำลังใกล้เข้ามาเพราะเสียงของพวกเขาดังไม่พอ

แต่กระนั้น มันก็ยังไม่หยุด

และดังนั้น เส้นประสาทที่บาดเจ็บและตึงของพวกเขาก็ขาดผึง

ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม มันอาจเป็นแค่ความลังเลของอัศวินเพียงคนเดียว แต่ความหวาดกลัวที่เต็มปริ่มถึงขีดจำกัดของพวกเขาก็สามารถระเบิดออกได้อย่างง่ายดายในท้ายที่สุด

"ไออออออออออออ๊!" (TLN: อี๊? อี๋?)

เสียงกรีดร้องที่ฉีกกระชากหัวใจสะท้อนไปทั่วกองทหารและทำให้กองทัพของจักรวรรดิตกใจและสะเทือนใจ

เหล่าอัศวินต่างทิ้งม้าของพวกเขาที่ไม่สามารถขยับตัวได้เพื่อวิ่งหนี การเคลื่อนไหวอย่างโง่เขลานี้ (TLN: หรือแปลว่า บ้า สิ้นสติ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความหมาย) เกิดจากความกลัวของพวกเขา กลัวหนึ่งในสัตว์ประหลาดเหล่านั้น - สัตว์ประหลาดตัวเดียวกับที่ได้เหยียบย่ำกองทัพราชวงศ์ใต้เท้า - ที่กำลังเข้ามาใกล้ พวกเขาได้เห็นภาพที่เหมือนนรก (TLN:หรือแปลว่า ชั่วร้าย โหดเหี้ยม) มามากเกินไป แม้แต่พวกที่ไม่มีจินตนาการก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อถึงตาของพวกเขาที่ต้องไปอยู่ใต้กีบเท้าของสัตว์ร้ายนั่น

และแน่นอน ความกลัวติดต่อกันได้

ขณะที่มีคนน้อยกว่าร้อยคนหนีในตอนแรก มันเพิ่มขนาดเป็นการอพยพหนีภัยของจำนวนหกหมื่นในไม่ช้า

ใช่

กองทัพของราชอาณาจักรได้ตกลงไปสู่การถอยทัพอันอลหม่าน ความมีระเบียบวินัยของกองทหารที่พวกเขาโอ้อวดพังพินาศ

มันเป็นการถอยทัพที่น่าอับอายขายหน้า

เหล่าอัศวินจริงๆแล้วได้รับการสั่งสอนวิธีถอยทัพอย่างเป็นระเบียบ อย่างไรก็ตามมันไม่มีเวลาที่จะมาทำตามกฏที่ไม่จำเป็นนั้น หากมันทำให้พวกเขาหนีไปจากที่นี่ได้เร็วขึ้นสักวินาที หากพวกเขาสามารถก้าวหนีออกไปได้มากขึ้นอีกหนึ่งก้าวไปสู่สถานที่ที่ปลอดภัย พวกเขาจะผลักเหล่าสหายให้ล้มลงด้วยกำลังทั้งหมดและวิ่งหนี

เมื่อถูกผลักจากด้านหลัง มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนคนๆนั้นจะสูญเสียสมดุลและล้มลง และเมื่อพวกเขาได้ล้มลงแล้ว ฝูงชนที่ถูกผลักดันด้วยความตื่นตระหนกด้านหลังของพวกเขา จะไม่มอบโอกาสให้พวกเขาลุกขึ้น

พวกคนที่ล้มลงจะถูกเหยียบย่ำโดยเหล่าคนที่อยู่ด้านหลังของพวกเขา

แม้ว่าพวกเขาที่ล้มลงทั้งหมดจะสวมใส่ชุดเกราะโลหะ แต่คนอื่นๆก็สวมใส่ชุดเกราะโลหะเช่นเดียวกัน มันจะใช้เวลาไม่นานที่จะบดขยี้เหล็กและเนื้อให้กลายเป็นก้อนเค้กกองเลือดเดียวกัน

ฉากเหล่านี้กำลังขึ้นทั่วทุกแห่ง (TLN: มโนล้วนๆ ตัดฉากมาทางท่านไอนซ์ที่หันกลับมาและอุทานว่า อาเระ? เกิดอะไรขึ้นผมแค่เรียกดาร์คยังมาขี่เล่น)

เหล่าผู้เสียชีวิตของกองทัพของจักรวรรดิไม่ได้มีสาเหตุมาจากศัตรู แต่ด้วยตัวพวกเขาเอง

ไม่รู้ว่าควรทำอะไร นินบูรุลังเลอย่างตะกุกตะกัก

เขาต้องการจะวิ่งเช่นกัน อย่างไรก็ตามตัวเขาไม่ได้รับอนุญาตและนอกจากนั้นไม่ใช่อัศวินทั้งหมดที่วิ่งหนี

เมื่อเขามองไปด้านหลังไปทางกองทัพของจักรวรรดิ เขาเห็นพวกเขาอยู่ไม่กี่คน ที่ยังคงนั่งอยู่บนม้าของพวกเขา

เหตุผลที่พวกเขาไม่วิ่งหนีไม่ใช่เพราะความกลัว ถ้าจะพูดให้ถูกมันเป็นเพราะพวกเขาตกตะลึง (TLN:หรือแปลว่า ถูกสะกด จับใจ หลงสเน่ห์ งุนงง) ในทางเดียวกันกับที่มนุษย์รู้สึกลุ่มหลง (TLN:หรือแปลว่า หลงใหล ดึงดูด ชื่นชอบ) โดยพลังที่ท่วมท้น ที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรเพื่อต่อต้านมันได้

ตัวอย่างเช่น คนปกติจะหนีเมื่อพวกเขาเห็นพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วมาหาพวกเขา อย่างไรก็ตามมีมนุษย์บางพวก ผู้ที่จะชื่นชมความงามของทอร์นาโดและยืนนิ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะตระหนักดีว่ามันจะเอาชีวิตของพวกเขาไป พวกที่ยังคงเหลืออยู่สามารถพิจาณาได้ว่าเป็นพวกผิดปกติ (TLN: หรือแปลว่า เพี้ยน แปลก พิลึก)

ดาร์คยังมาถึงเบื้องหน้าของไอนซ์ โค้งเข่าของมัน และลดหนวดของพวกมันลง นี่อาจเป็นการแสดงความนอบน้อม (TLN: หรือแปลว่า ยอมแพ้ ยอมจำนน) ต่อเจ้านายของมัน

นินบูรุยิ้ม ใบหน้าของเขากระตุกระหว่างที่สัตว์ประหลาดปฏิบัติตัวในลักษณะที่เหมาะสมกับการเป็นลูกสุนัขมากกว่า

ด้านหน้าของดาร์คยังก่อนหน้าอาบไปด้วยเลือดสดๆ และที่มองไม่เห็นตอนนี้นั้น มันได้ถูกซึมซับด้วยผิวหนังของมัน

มันใช้หนวดห่อรอบเอวของไอนซ์ จากนั้นยืดออกมาอีกหลายหนวดเพื่อจับร่างกายของเขาให้มั่นคงก่อนจะยกตัวเขาขึ้น ต่อจากนั้นมันวางเขาลงบนหัวของมัน

"ข้าเชื่อว่าแผนการดั้งเดิมคือ ข้าจะร่ายคาคาหนึ่งบทเพื่อสร้างช่องโหว่ และจากนั้นกองทัพจักรวรรดิจะพุ่งเข้าโจมตีต่อจากด้านหลัง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากกองทัพของจักรวรรดิ"

นินบูรุไม่มีอะไรจะพูด

เป็นแบบนั้น จักรวรรดิได้ทำลายข้อตกลงของสัญญาที่พวกเขาได้ทำกับราชาของประเทศพันธมิตร อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถตำหนิพวกอัศวินที่สูญเสียจิตใจของพวกเขา นินบูรุอาจจะปกป้องพวกเขาแม้จะอยู่ต่อหน้าจิรุคุนิฟุ เพราะเขารู้ถึงขนาดของความกลัวที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อพวกเขา

"อ่า ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะตำหนิเจ้า ข้าตระหนักดีว่าหากพวกเจ้าตัดสินใจเริ่มการจู่โจม มันมีโอกาสที่เจ้าจะถูกเหยียบย่ำไปด้วยกันกับศัตรู ว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านั่นได้เกิดขึ้น ข้าคงอยู่ในฐานะลำบากกับการที่ต้องอธิบายความตายเหล่านั้นให้กับจักรพรรดิ เอาล่ะ ในกรณีนี้ ข้าคิดว่าข้าจะจัดการงานส่วนของพวกเจ้าด้วยก็แล้วกัน"

นินบูรุมองไปที่กองกำลังอันเดดที่ยังคงยืนนิ่ง

"จะ . . . จะ . . . จะ จะให้กองกำลังอันเดดทำการจู่โจมต่อจากนี้?"

"โอ ไม่ เจ้าลูกแกะน้อยตัวเล็กที่น่ารักเหล่านี้ได้ทำเรื่องส่วนใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าตั้งใจจะไปเก็บกวาด มาเร่อย่าลดการระวังลงล่ะ"

"ครับ ครับ! ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง ท่านไอนซ์!"

นินบูรุไม่สามารถพูดได้

เขายังคงต้องการโจมตีต่อ แม้หลังจากเรื่องทั้งหมดนี้ ผู้ที่ได้ร่ายคาถาด้วยตัวเขาเอง

เขาตั้งใจที่จะกำจัดทุกคนบนสนามรบด้วยตัวเขาเอง?! ความกระหายในการเข่นฆ่าของเขาไม่รู้จักขีดจำกัด?!!

"ในการที่จะคิดว่า . . . มันยังไม่เพียงพอ เขาเป็นปีศาจงั้นหรือ?"

ถึงแม้ว่าเขาจะบ่นพึมพึมกับตัวเอง คำพูดของนินบูรุนั้นดังกว่าที่เขาคิดไว้ และไอนซ์ได้หันใบหน้าที่น่ากลัวของเขามาจากที่ที่เขานั่ง บนยอดของดาร์คยัง

เขาส่ายหน้าให้กับนินบูรุที่กำลังสั่นเทา

"อย่าเข้าใจผิดไป ข้าคืออันเดด" (TLN: สมกับเป็นทั่นไอนซ์!)

สิ่งที่ไอนซ์กำลังพยายามจะพูดนั่นคือเขาไม่ใช่ปีศาจที่สรรเสริญในความชั่วร้าย แต่เป็นอันเดดที่เกลียดชังสิ่งมีชีวิต เช่นนี้เขาจะไม่อนุญาตให้ทหารแม้แต่เพียงคนเดียวของราชอาณาจักรหลบหนี ส่วนหนึ่งนั้นคือการกำลังจะเอาอีกหลายชีวิตจำนวนที่มากกว่าชีวิตที่ได้สูญเสียไปแล้ว

คำตอบนี้เป็นไปได้มากที่สุดและมันเป็นหายนะมากที่สุด

ในการที่ตัวเขาเป็นอันเดด หากไอนซ์ต้องการสังหารทุกสิ่งที่มีชีวิต ดังนั้นมันเป็นไปได้ที่สายตาของเขาวันหนึ่งอาจเล็งมาที่จักรวรรดิ ที่เต็มไปด้วยชีวิต

ไม่ อนาคตที่น่ากลัวนั้นมันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ในขณะที่เขากำลังสงสัยว่าเขาควรทำอะไรต่อไป ถูกจู่โจมด้วยความสับสนและความกลัว และการขาดความสามารถในการรวมจุดสนใจ นินบูรุได้ยินคำพูดสุดท้ายจากไอนซ์ที่พูดว่า

". . . และดูเหมือนว่าข้าจะพบเป้าหมายของข้าแล้ว"

VVVVVVVVVV

ค่ายหลักของพระราชารันพอซซาที่สาม ที่ตั้งอยู่ส่วนกลางของกองทัพราชวงศ์ มันถูกล้อมรอบไปด้วยธงที่เป็นของขุนนางจำนวนมากมายของราชอาณาจักรรี-เอสทีเซ

แม้ว่ามันจะเคยมีขุนนางจำนวนมากชุมนุมกันอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่พวกเขาได้หลบหนีไปแล้ว และจำนวนที่ยังเหลืออยู่ที่ค่ายนี้ก็สามารถนับได้ด้วยเพียงแค่สองมือ แต่แน่นอนไม่มีใครโกรธพวกขุนนางที่วิ่งหนี

"ทิ้งข้าไว้และหนีไป!"

"พระองค์ นี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น! กรุณาหนีโดยด่วนที่สุด เมื่อมันตามพวกเราทัน พวกเราจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต!"

ลูกน้องของกาเซฟ รองหัวหน้าของกองกำลังนักรบ กำลังพูด

"ข้าในฐานะที่เป็นพระราชาจะวิ่งหนีได้อย่างไร?"

"ถึงแม้พระองค์จะอยู่ที่นี่ แต่มันไม่มีอะไรที่ท่านสามารถทำได้ ไม่ใช่ว่าท่านควรกลับไปที่เอ-รันเทลและวางแผนในการโต้กลับหรือ?"

รันพอซซาที่สามยิ้มอย่างขมขื่น มันเจ็บปวดที่ได้ยินคำพูดพวกนั้น

"มันถูกต้องแล้ว ถึงแม้ข้าจะอยู่ที่นี่ แต่มันก็ไม่มีสิ่งใดเหลือให้ข้าทำ"

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมกำลังพลของกองทัพที่กระจัดกระจายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นี่ไม่ใช่การดูถูกรันพอซซาที่สาม เพราะไม่มีผู้บัญชาการคนไหนที่จะสามารถทำได้เช่นกัน

"พระองค์! ไม่มีเวลาแล้ว! ตั้งใจฟัง ถึงแม้ว่าพวกนายจะต้องลากท่านกลับไปด้วยโซ่ พวกนายก็ต้องนำตัวพระองค์กลับบ้าน!"

ด้วยนั่นเอง ลูกน้องของกาเซฟกระทำโดยทันที

การเสียเวลาไม่เพียงแต่จะพาอันตรายมาสู่แค่ตัวเขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเหล่าผู้คนรอบๆตัวเขา ด้วยเหตุนี้รันพอซซาที่สามได้ตัดสินและลุกขึ้นยืน

"เอาล่ะ ไปกันเถอะ แต่มันจะมีอะไรเปลี่ยนไป ถ้าพวกเราเริ่มหนีตอนนี้?"

ฝีเท้าเขย่าพื้นดินเหมือนกับแผ่นดินไหวเมื่อมันใกล้เข้ามา แม้แต่ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ รันพอซซาที่สามก็ยังคงสงบ มันเป็นเสียงจากระยะไกลแต่ก็ยังคงได้ยิน เสียงความโกลาหลจากเหล่าขุนนาง

"เริ่มจาก พวกเราไม่สามารถขี่ม้าได้ ถ้าพวกเราพยายามที่จะขี่ม้าหนี พวกมันจะไล่ตามเรา ดูเหมือนพวกมันจะมีเป้าหมายไปที่ทหารกลุ่มใหญ่ที่กำลังหนีก่อนเป็นอันดับแรก เช่นนี้มันก็ไม่มีหนทางอื่นสำหรับพวกเราที่จะปลอดภัย"

ตอนนี้ รันพอซซาที่สาม เพิ่งตระหนักว่าคนเหล่านี้จากกองกำลังขี่ม้าของเหล่าขุนนางมาที่นี่ด้วยเหตุผลนี้อย่างแน่นอน

"ดังนั้นทั้งหมดที่พวกเราจะทำได้คือการวิ่ง"

นักรบบางคนเริ่มถอดชุดเกราะและทิ้งชุดเกราะไป

"ชายเหล่านี้จะแบกพระองค์ขณะที่หลบหนี"

"และคนที่เหลือล่ะ?"

ไม่ใช่ทุกคนที่ถอดชุดเกราะ รองหัวหน้าและสหายของเขายังคงสวมใส่มัน

"พวกเราจะทำหน้าที่ขี่ม้าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและหนีไปทิศตรงข้าม"

รันพอซซาที่สามเข้าใจถึงความมุ่งมั่นจากรอยยิ้มที่ชัดเจนบนใบหน้าของเหล่านักรบ

"ไม่มีทาง พวกเจ้าคือสมบัติของราชอาณาจักรของเรา! ไม่ว่าอะไรก็ตามพวกเจ้าต้องมีชีวิตรอด! ข้ายังจำเป็นต้องการให้พวกเจ้ารับใช้เหล่าลูกๆของข้า!"

"แน่นอน ถึงแม้ว่าพวกเราจะตั้งใจไปเป็นเหยื่อล่อ แต่พวกเราไม่ได้ตั้งใจที่จะไปตาย!"

นั่นคือคำโกหก พวกเขาวางแผนที่จะตาย ถ้าจะพูดให้ถูก พวกเขาได้ยอมรับว่าความตายที่ว่านั้นเป็นชะตากรรมของพวกเขา"

รันพอซซาที่สามพยายามคิดหาคำพูดที่จะมาโน้มน้าว แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ เมื่อเผชิญหน้ากับรอยยิ้มของเหล่านักรบ สิ่งที่เขาคิดดูเหมือนมันจะเหี่ยวแห้งและถูกพัดหายไป

เหล่านักรบช่วยกันปลดชุดเกราะของรันพอซซาที่สาม (TLN: ฮืมมมม นักรบถอดบางคนชุดเกราะของพวกเขาออก รอยยิ้มของนักรบให้กับรันพอซซา นักรบมาช่วยกันปลดชุดเกราะของรันพอซซา ด้านล่างเดี๋ยวมีครางเบาๆ เอ้ยบ่นเบาๆ)

นักรบที่อยู่ในชุดเกราะสีขาวบริสุทธิ์ได้ก้าวออกมาด้านหน้า เขาคือ ไคลม์ ลูกน้องที่จงรักภักดีของราน่าลูกสาวของเขา และเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นี่จนถึงตอนนี้

"อนุญาตให้ผมได้ช่วยในการเบี่ยงเบนความสนใจ แม้ว่าพวกเราจะไม่รู้ว่าพวกสัตว์ประหลาดพวกนี้มีตาหรือไม่ แต่ถ้าพวกเราโบกธงของพวกเราไม่หยุด พวกเราน่าจะสามารถดึงความสนใจของมันได้ และชุดเกราะนี้ค่อนข้างสะดุดตาและเห็นได้ชัดเจน"

ไคลม์ถือธงของราชอาณาจักรในมือ มันถูกทำให้เปื้อนด้วยรอยเท้าของเหล่าทหารที่วิ่งหนี และเหมือนจะบอกเป็นนัยว่าจะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ปัจจุบัน

"ไอ (ใช่) งั้นผมก็จะไปด้วยเช่นกัน"

ด้านข้างคือ  เบรน อันกุลัส เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นนักรบชั้นหนึ่งผู้ที่เทียบเท่าได้กับผู้รับใช้ที่เขาไว้ใจ กาเซฟ สโตรนอฟ เบรนที่ได้เข้าสู่สนามรบในฐานะลูกน้องของราน่า กล่าวอีกนัยคือพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่คล้ายกัน

"นายแน่ใจอย่างนั้นรึ? ใช่ว่านายสองคนจะเป็นลูกน้องของเจ้าหญิง"

"อ่า? ก็นะ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ระหว่างที่ปีศาจออกอาละวาด พวกเราก็ไปอยู่แนวหน้าและทางใดทางหนึ่งพวกเราก็สามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ครั้งนี้พวกเราก็หวังว่าโชคดีนั่นจะอยู่กับพวกเรา และพวกเราหวังให้โชคดีนั่นอยู่กับพวกนายเช่นกัน"

"พระเจ้าคงจะไม่มองดูอย่างเงียบๆ ระหว่างการอาละวาดนั้น มีวีรบุรุษมาช่วยพวกเราไว้ ผมมั่นใจว่าพวกเขาจะเปลี่ยนชะตากรรมของพวกเราครั้งนี้เช่นกัน"

ด้านหน้าของรันพอซซาที่สาม เบรนประสานมือในการคารวะ เพื่อลารองหัวหน้า

"มันจบลงอย่างนี้ได้อย่างไร . . ."

มันมีอะไรผิดพลาดตรงไหน?

รันพอซซาที่สามบ่นเบาๆ เขารู้ว่าเหล่าคนที่อยู่ด้านหน้าของเขาจะไม่มีใครรอดชีวิต

รองหัวหน้าและไคลม์จะตายในฐานะเหยื่อล่อ

และกาเซฟที่หายไปในความโกลาหลหลังจากที่เขาบอกว่าเขาตั้งใจที่จะหยุดดาร์คยัง ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?

ดวงตาของเขาร้อนขึ้น

Spare me (TLN: ให้อภัยข้าด้วย? เห็นใจข้าด้วย? ขอทีเถอะ? พอทีเถอะ?) เขาอยากจะพูด

พวกเขากำลังจะไปทิ้งชีวิตที่ยังหนุ่มของพวกเขาเพื่อตัวเขา ที่เป็นชายแก่ แต่เขาไม่สามารถพูดอย่างนั้นได้ พวกเขาต่อสู้อย่างเต็มที่ระหว่างที่รู้ตัวดีถึงความตายที่ใกล้เข้ามา หลังจากนั้น -

"กลับไปอย่างปลอดภัยสู่เอ-รันเทล และข้าจะมอบรางวัลทุกอย่างที่พวกเจ้าปรารถนา"

ไคลม์และเบรนหยุดเดินและหันกลับมา

"มันไม่มีความจำเป็นสำหรับรางวัล พระองค์ ตัวผมมีชีวิตก็เพื่อท่านราน่า นั่นเป็นรางวัลที่เพียงพอแล้ว" (TLN: มโนล้วนๆ ตัดฉากไปที่ราน่าหันกลับมา ไคลม์ลูกหมาตัวน้อยที่น่ารักของชั้น!"

"สำหรับผม งั้นให้เจ้าหญิงที่งดงามที่สุดของประเทศนี้แต่งงานกับเด็กนี่ที่อยู่ตรงนี้เป็นอย่างไร?"

". . . ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เอาล่ะ นั่นมันเป็นรางวัลที่ฟุ่มเฟือย"

"คุณเบรน! คุณกำลังพูดอะไรของคุณ?"

"เอาล่ะ พวกเราต้องเริ่มด้วยการมอบตำแหน่งขุนนางให้เด็กนี่ ทำงานให้หนักล่ะ! (TLN: หรือแปลว่า ขยันเข้าล่ะ)"

"ดังนั้นนายต้องรอดกลับมา ไคลม์คุง"

ดวงตาว่างเปล่าและปากที่อ้าค้างของไคลม์ไม่ได้มีจิตวิญญาณของนักรบสถิตอยู่ในตอนนี้ พระราชาอย่างไรก็ตามปล่อยให้รอยยิ้มที่สดใสปรากฏบนใบหน้าของเขาอย่างไม่ตั้งใจ

"ดังนั้นพวกเราจะไปกันแล้ว พระองค์"

"ฝากด้วยล่ะ"

รันพอซซาที่สามที่ขณะนี้ไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะได้ถูกแบกให้สูงขึ้นด้วยเหล่าทหาร

"พระองค์ แม้ตอนนี้การหลบหนีของพวกเราจะขึ้นกับโชค ถ้าสิ่งเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น . . . ผมวิงวอนขอให้ท่านให้อภัยผม"

"ตกลง มันเป็นการตัดสินใจของข้าในการที่จะใช้แผนการนั้น หากมันล้มเหลวเนื่องจากความโชคร้าย ดังนั้นข้าก็จะไม่คับข้องใจ"

"ถ้าเป็นเช่นนั้น! พระองค์! ขอให้พวกเราพบกันใหม่ในเอ-รันเทล!"

รองหัวหน้าควบม้าของเขาออกไป ราวกับว่ามันกำลังรอพวกเขา หนึ่งในดาร์คยังเปลี่ยนทิศของมัน

"เอาล่ะ! ไปกันเถอะหว่างที่พวกเขาดึงตัวมันออกไป!"


VVVVVVVVVV


- ขอบคุณทุกกำลังใจ และการแก้ปัญหา เดี๋ยวจะพยายามทำดูก่อน
- ถ้าโดนแบนอีกรอบนี้ก็ลาก่อนเลย
- นิยาย Overlord ภาษาไทยสามารถซื้อได้ที่ shop.dexclub.com ซึ่งตอนนี้มี 5 เล่ม (นิยายภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษตอนนี้มี 13 เล่ม)
- ช่องทางการติดต่อ คอมเม้นต์ได้ที่ด้านล่าง
- หรือติดต่อกลับส่วนตัวทาง https://overlord-thai.blogspot.com/p/contact-us.html (ขอความกรุณาว่า ถ้าหากต้องการให้ตอบกลับผ่านอีเมลที่ท่านลง ช่วยระบุให้ชัดเจนผ่านทางข้อความที่ส่งมา)


TLN: อาจมีการแปล เข้าใจ หรือใส่เนื้อหาผิดพลาดไปบ้าง ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วย
TLN: คอมเมนต์ด้านล่างได้โดยไม่ต้องมี account


Comments

Popular posts from this blog

Overlord Light Novel volume 10 (นิยายเล่ม 10) - สรุปเนื้อหา

สปอยล์แบบจัดเต็ม อนิเมะ Overlord Season 03 Episode 13 (ส่วนที่ 0 - เวอร์ชั่นบ่น)

สปอยล์แบบจัดเต็ม อนิเมะ Overlord Season 03 Episode 12 (ส่วนที่ 2)