สปอยล์แบบจัดเต็ม อนิเมะ Overlord Season 03 Episode 12 (ส่วนที่ 1)
Overlord LN Vol 09 - Chap 4 Massacre (ตอนที่ 1)
/ Overlord Light Novel Volume 09 - Chapter 4 Massacre (ตอนที่ 1)ที่หัวเรื่องวงเล็บไว้ว่าส่วนที่ 1 เนื่องจากยังเขียนไม่จบ
บทที่ 4 นี้มีทั้งหมดมี 4 ตอน ทั้งยังเป็นบทสุดท้ายของนิยายเล่ม 09
นอกจากบทที่ 4 จะมีบทส่งท้ายอีก 2 ตอน ซึ่งถือเป็นอันว่าจบเล่ม
ที่ขึ้นว่าสปอยล์เนื่องจาก เนื้อเรื่องที่จะพูดถึงนี้มีอยู่ในนิยาย แต่ยังไม่มีฉายเป็นอนิเมะ และจะฉายในตอนหน้า นั่นคือตอนที่ 12 (ขึ้นไป)
หมายเหตุ: อาจมีเนื้อเรื่องย้อนกลับไปตอนเก่าบ้างเล็กน้อย บางเหตุการณ์อาจถูกข้ามฉากไปเมื่อทำเป็นอนิเมะ และอาจมีเนื้อเรื่องที่สปอยล์เกินตอนไป
หมายเหตุ2: เนื้อเรื่องของเล่มที่ 9 บทที่ 4 ตอนที่ 1 นี้ คาดว่าจะตรงกับเนื้อเรื่องของอนิเมะ ซีซั่น 3 ตอนที่ 12
VVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVVV
บทที่ 4 การสังหารหมู่
ตอนที่ 1
ทั้งสองกองทัพต่างจัดรูปแบบแนวการรบไปตามเนินลาดของที่ราบสีแดงเข้ม และจ้องถมึงกัน
กองทัพอันน่าเกรงขามของราชอาณาจักรคือ ชายที่แข็งแรงจำนวน 245,000 คน แบ่งออกเป็นปีกซ้าย 70,000 คน ปีกขวา 70,000 คน และแนวรบตรงกลาง 105,000 คน ขบวนรบกระจายออกไปตลอดทั่วภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาสามลูก อย่างไรก็ตามมันเป็นรูปแบบที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบมากนัก แต่เป็นความดุร้ายที่อยู่ในแบบที่มีจำนวนมากอย่างท่วมท้น (TLN: ไม่เน้นความเป็นระเบียบ เน้นปริมาณ)
กองทหารราบ 5 กองที่อยู่ด้านหน้าสุด ถือหอกสองมือ (two-handed pike) แต่ละอันมีความยาวกว่า 6 เมตร และจัดตำแหน่งหอกเรียงเป็นแถว
งานของพวกเขาคือ การทำหน้าที่เป็นกำแพงหอกให้กับกองทัพ เพื่อเป็นการตอบโต้กองทหารม้าเกราะหนัก ที่เป็นกำลังต่อสู้หลักของจักรวรรดิ พวกเขาไม่ได้ใช้รั้วไม้สำหรับสกัดกองทหารม้าเพราะเหตุผลเรียบๆ นั่นคือการที่จะปกป้องทหารจำนวนมากนั้นต้องใช้ไม้เป็นจำนวนมากเกินไป ในทางกลับกัน การวางกองกำลังอย่างชาญฉลาด และการใช้แถวพลหอกจะเกิดประสิทธิภาพมากกว่า
แม้ว่ารูปแบบนี้จะมั่นคงแข็งแรงและสร้างปัญหาให้กับผู้โจมตี แต่มันก็มีจุดอ่อนเช่นกัน
เนื่องจากรูปแบบนี้นั้นหนาแน่น และอาวุธที่ถือก็หนัก สิ่งที่พวกเขาทำได้คือแค่อยู่ในตำแหน่งเดิมและป้องกันการพุ่งโจมตี (charge ชาร์จ) ของศัตรู เช่นนี้แล้วทำให้พวกเขาขาดความสามารถในการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วพอกับการเคลื่อนพลของศัตรู และหากจักรวรรดิใช้พลธนู หรือเวทมนตร์ จะเกิดความเสียหายกับพวกเขาอย่างหนัก
นอกจากนี้ ไม่มีใครคาดหวังอะไรมากกับแค่พวกชาวบ้าน (TLN: หรือแปลว่า ชาวนา คนไม่มีการศึกษา ชาวชนบท) สิ่งที่ต้องการมีเพียงให้พวกเขาป้องกันการพุ่งโจมตีแรกของศัตรูได้เท่านั้น
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง จักรวรรดิมี 60,000 คน
จำนวนของพวกเขามีน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับราชอาณาจักร
อย่างไรก็ตาม เหล่าอัศวินของจักรวรรดินั้นผ่อนคลาย ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงความกลัว พวกเขาไม่รู้สึกว่าจะแพ้แม้แต่น้อย
ความมั่นใจนี้เกิดจากการที่รู้ถึงกำลังของตนเอง
แต่กระนั้น มันเป็นความจริงที่ว่า มันมีความแตกต่างอย่างมากในกำลังทางทหารของทั้งสองฝ่าย แม้ว่ามันจะไม่เป็นปัญหาหากพวกเขาสามารถต่อสู้ต่อไปได้เรื่อยๆโดยไม่เหนื่อย แต่นั่นเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ เมื่อพวกเขาเหนื่อย ช่องว่างของความสามารถของแต่ละคนก็จะถูกทำลายอย่างง่ายดาย (TLN: เมื่อเหนื่อย กำลังและความสามารถนั้นจะลดลง)
ราชอาณาจักรยังมีความได้เปรียบอีกอย่างหนึ่ง และนั่นเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก นั่นคือคุณค่าของชีวิตของแต่ละคน
ไพร่พลของราชอาณาจักรเกือบทั้งหมดประกอบไปชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มา ในทางกลับกัน จักรวรรดิใช้ทหารมืออาชีพที่เรียกว่า อัศวิน มันต่างกันอย่างมากทั้งในเรื่องเวลาและจำนวนเงินที่ใช้ฝึกฝนชาวบ้าน - ซึ่งเป็นผู้ที่พิจาณาได้ว่าเป็นพวกที่พร้อมที่จะรบได้ทุกเมื่อ แค่เพียงพวกเขาหยิบอาวุธและปฏิบัติตามคำสั่ง - และนั่นคือสิ่งที่ต้องการในการสร้างอัศวินหนึ่งคน ทุกการสูญเสียของจักรวรรดิสามารถรู้สึกได้ว่ามันมากกว่าการสูญเสียเมื่อเทียบกับราชอาณาจักร (TLN: หนึ่งอัศวินมีค่ามากกว่าหนึ่งชาวบ้านนั่นเอง) จักรวรรดิจึงไม่สามารถที่จะใช้อัศวินไปอย่างสิ้นเปลืองกับการโจมตีโง่ๆหรือในสงครามยืดเยื้อ
เมื่อคิดเช่นนี้ การต่อสู้กันในสงครามยืดเยื้อบนพื้นที่เปิดกว้างระหว่างจักรวรรดิและราชอาณาจักร ฝ่ายราชอาณาจักรจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เพราะเหตุนี้ สงครามที่สู้กันระหว่างจักรวรรดิและราชอาณาจักรที่ผ่านมาจึงเป็นแค่การปะทะกันเล็กน้อย
เป้าหมายของจักรวรรดินั้นบรรลุง่ายๆเพียงแค่ ได้นำพวกชาวบ้านมารบในสนามรบ มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสิ้นเปลืองชีวิตของเหล่าขุนนางหรือทหารที่มีความสามารถ ซึ่งราชอาณาจักรก็รู้ดีเช่นกัน
พิธีที่ถูกกำกับอย่างนี้ (TLN: การรบที่เหมือนเป็นการแสดงละครนี้) เป็นสงครามระหว่างจักรวรรดิกับราชอาณาจักร
แม้ว่าผู้ร่ายเวทที่ชื่อ ไอนซ์ อูล โกน จะเข้าร่วม มันก็ยังคงจบลงด้วยการปะทะกันเพียงเล็กน้อย นั่นเป็นสิ่งที่พวกขุนนางของราชอาณาจักรคิด และเมื่อคิดดูแล้ว อัศวินของจักรวรรดิไม่ใช่เพียงแค่เป็นกำลังทางทหาร แต่เป็นกำลังของหน่วยดูแลความสงบเรียบร้อยด้วยเช่นกัน (TLN: ตำรวจนั่นเอง) การเสียกำลังนี้โดยไม่จำเป็นจะเป็นการคุกคามสเถียรภาพของจักรวรรดิ (TLN: แต่ก็อย่างว่า จักรวรรดิแค่ต้องการลดกำลังของราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ ก่อนจะเข้ายึดครอง ด้วยการประกาศสงครามกับราชอาณาจักรในฤดูเก็บเกี่ยว แรงงานที่ใช้ในการเก็บเกี่ยวกลับต้องมาใช้ในสนามรบ แถมต้องมีเสบียงอีก)
และ เหล่าขุนนางต่างเฝ้าคอยการเคลื่อนไหวถัดไปของจักรวรรดิ
ตามธรรมเนียม กองกำลังของจักรวรรดิจะเดินสวนสนามต่อหน้าทหารของราชอาณาจักร และถอยกลับไป ต่อจากนั้นราชอาณาจักรก็จะส่งเสียงร้องถึงชัยชนะ (TLN: ส่งเสียงเพิ่มขวัญกำลังใจ)
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอจากที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม . . .
กองทัพจักรวรรดิกลับไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย
ไม่มีสัญญาณการเคลื่อนไหวจากปราการ ไม่มีการเคลื่อนพลของกองกำลังเพื่อตั้งขบวนรับด้านหน้าของกองกำลังราชอาณาจักร ทำเหมือนกับว่าพวกเขากำลังรอให้ราชอาณาจักรเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หรือรออย่างอื่น
"ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มันเกิดอะไรขึ้น?"
นี่เป็นค่ายหลัก ที่พระราชาอยู่ ค่ายหลักนั้นตั้งอยู่ใกล้ๆด้านหลังของแนวรบตรงกลาง หลังกองทัพทหารจำนวน 105,000 คน
มาร์ควิสเรบุนยืนอยู่ข้างๆกาเซฟ พูดกับเขาระหว่างที่สำรวจอัศวินของจักรวรรดิซึ่งไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากจุดสังเกตการณ์บนยอดของภูเขาที่สูงกว่าลูกอื่นๆเล็กน้อย
ถ้าจักรวรรดิไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นราชอาณาจักรก็เช่นกัน
การโจมตีจากราชอาณาจักรตอนนี้จะเป็นการโง่อย่างมาก พวกเขาได้มีการจัดแถวพลหอกเรียบร้อย แน่นอนว่าก่อนหน้านี้มีการลองพยายามแล้ว การเริ่มโจมตีก่อน โจมตีใส่พวกจักรวรรดิ อย่างไรก็ตามฝ่ายโจมตีนั้นได้ถูกสังหารเพียงในระยะเวลาอันสั้น และผลลัพธ์คือ ราชอาณาจักรได้รับผลเสียหายอย่างมาก
นับตั้งแต่นั้นมา ราชอาณาจักรชื่นชอบที่จะใช้ยุทธวิธีต่อต้านจักรวรรดิด้วยการจัดแถวพลหอกและเตรียมตัวรับการพุ่งโจมตี ถ้าพวกเขาสามารถล่อหลอกศัตรูให้มาได้ก็ไม่จำเป็นจะต้องเสี่ยงโจมตี
"เอาล่ะ ดังนั้น พวกเขาคงกำลังรอพวกเรา . . ."
"การเจรจาต่อรองสุดท้ายก็ล้มเหลวไปแล้ว ดังนั้นคงได้เริ่มการต่อสู้ในไม่ช้า . . . หัวหน้านักรบ ท่านกาเซฟ คุณมีความคิดเห็นอะไรบ้างไหมว่าพวกจักรวรรดิกำลังรออะไรอยู่?"
สามสิบนาทีที่แล้ว ตัวแทนของทั้งสองกองทัพได้เริ่มต้นเจรจาต่อรองในพื้นที่ตรงกลางระหว่างพวกเขา เป็นที่ยอมรับว่า นั่นเป็นคำแถลงของเงื่อนไขที่ไร้สาระของทั้งสองฝ่าย ที่แทบจะไม่สามารถพิจาณาได้ว่ามันเป็นการเจรจาต่อรอง เป้าหมายจริงๆแล้วคือการแสดงว่าแต่ละฝ่ายต้องการหลีกเลี่ยงสงครามจนถึงวินาทีสุดท้าย
แน่นอนว่าเมื่อการเจรจาต่อรองล้มเหลว นั่นคือสัญญาณเริ่มต้นของการต่อสู้
ภายใต้สถานการณ์ปกติ กองทัพของจักรวรรดิจะเริ่มเคลื่อนไหวทันที อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ในกรณีนี้ พวกเขายังคงอยู่ที่เดิม
"ถึงแม้ท่านจะถามผม แต่ผมก็ไม่มีคำตอบให้ท่าน แล้วท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม?"
"ผมเหมือนกัน ผมไม่ค่อยคุ้นเคยเกี่ยวกับเรื่องของการทหาร ผมมักจะให้เหล่าลูกน้องเป็นคนจัดการ"
"ผมพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่า มาร์ควิสผู้ที่มีความรู้มาก จะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับศัตรูของเขา"
"ไม่รู้อะไรเลย . . . ท่านเกเซฟ ไม่พูดอ้อมค้อมเลย"
"ผมได้ดูถูกท่านหรือไม่? ถ้าใช่ผมต้องขอโทษด้วย"
"ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ ผมไม่ถือ แต่มันเป็นโทนเสียงที่ดีกว่ามากถ้าเทียบกับที่ผ่านมา"
กาเซฟย่นคิ้ว ขณะที่เขาเริ่มรู้สึกขุ่นเคือง
"ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าพิจาณาจากข้อเท็จจริง จริงๆแล้วผมไม่ใช่แม่ทัพและนั่นก็ไม่ใช่คำโกหก ผมโชคดีที่มีเหล่าลูกน้องที่เป็นผู้นำที่ดี ดังนั้นผมจึงทิ้งเรื่องการทหารให้พวกเขา"
"หรือมันจะเป็น . . . หนึ่งในอดีตนักผจญภัยที่ทำงานให้กับท่าน ที่มีชื่อเสียงในระหว่างที่ปีศาจอาละวาดในเมืองหลวง?"
"อ่า . . . ไม่ พวกเขาอยู่ตรงโน้น"
เรบุนชี้ไปที่กลุ่มของชายห้าคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน
ถึงแม้ว่าพวกเขาเข้าสู่วัยกลางคน และกำลังของพวกเขาก็ไม่มากเท่ากับที่เคยมี พวกเขาก็เคยเป็นถึงนักผจญภัยระดับโอริคัลคุม ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต และมันมีบางสิ่งในการกระทำ (TLN: การแสดงออกทั้งคำพูด ท่าทางต่างๆ) ของพวกเขาที่ทำให้กาเซฟรู้สึกว่าเขาควรจริงจังและให้ความสำคัญกับพวกเขา
"พวกเขาจะเป็นองครักษ์ให้ผมระหว่างการต่อสู้"
"ถ้ามีพวกเขาเหล่านี้ปกป้องคุณ มาร์ควิสเรบุน ผมมั่นใจว่าคุณจะไม่มีปัญหาในการกลับเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย . . . ก็นะ ตราบที่พวกเขาไม่ได้ไปเผชิญหน้ากับผู้ร่ายเวทที่ยิ่งใหญ่คนนั้น งั้นเรื่องเกี่ยวกับนักยุทธศาสตร์?"
"ผมไม่คิดว่าท่านกาเซฟจะรู้จักเขา เพราะเขาเป็นแค่สามัญชนจากเขตของผม ผมได้รู้ชื่อของเขาเมื่อตอนที่เขาใช้กองทหารอาสาของหมู่บ้านเอาชนะกองกำลังก็อบลินที่มีจำนวนมากกว่าถึงสองเท่า นับตั้งแต่นั้นผมก็วางใจเขาให้เป็นผู้สั่งการกองกำลังของผม รวมไปถึงเรื่องต่างๆ สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างมากนั่นคือเขายังไม่เคยแพ้การต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว เขายังเป็นเสนาธิการ (TLN: หรือแปลว่า ผู้ช่วย) ของผมด้วย"
". . . ผมอยากจะพบผู้บังคับบัญชาที่มาร์ควิสเรบุสยกย่องอย่างมาก ถ้าเขาเป็นได้อย่างที่ท่านว่า อาจจะดีถ้าพวกเราให้เขาสั่งการกองกำลังของราชอาณาจักร"
"ถ้าพวกเราให้อำนาจกับเขา . . . ให้เขาบัญชาการทหารและกองทัพราชวงศ์ต่างๆ ให้เคลื่อนไหวตามคำสั่งของเขา พวกเราอาจทำให้ประเทศเพื่อนบ้านมาสนใจและพูดว่า 'กองทัพของราชอาณาจักรรี-เอสทีเซ ประมาทไม่ได้เลย'"
กาเซฟและเรบุนต่างมองกัน ถอนหายใจและยิ้ม
"พวกขุนนางคงไม่ยอมให้สามัญชนขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งนั้น ตอนนี้มันก็ไม่ได้เป็นมากไปกว่าเรื่องเพ้อฝัน"
"ก็ไม่แน่ ระหว่างที่ขุนนางแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย"
จักรวรรดิจัดระเบียบกองทหารโดยการแต่งตั้งแม่ทัพให้แต่ละกอง ภายใต้ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาการกองพล ผู้บัญชาบังคับการกองพลน้อยและเจ้าหน้าที่อื่นๆ ทั้งหมดอยู่ภายใต้กฏการจัดระเบียบอย่างเข้มงวด (TLN: ไม่เชี่ยวชาญด้านสงครามแต่ก็ใส่ข้อมูลเสียหน่อย กองพลคือกองทหารจำนวน 10,000 - 20,000 ซึ่งประกอบไปด้วยกองทหาร กรมหรือกองพลน้อย ส่วนกองพลน้อยคือกองทหารจำนวน 3,200 - 5,500 ขึ้นอยู่กับประเทศ บางประเทศขึ้นไปได้ถึง 11,000 คน ซึ่งประกอบไปด้วย 3 - 6 กองพัน)
ในทางกลับกัน กองทัพของราชอาณาจักรประกอบไปด้วยกองกำลังของขุนนางและทหารเกณฑ์ที่ขุนนางแต่ละคนของราชอาณาจักรจะสามารถรวบรวมได้ พระราชาคือผู้บังคับบัญชาการทั้งหมด แต่กองกำลังของขุนนาง แต่ละขุนนางก็จะบังคับบัญชาตามที่เห็นสมควร
กล่าวคือ มันเป็นกลุ่มคนที่ไม่เข้าพวกกันมารวมตัวกัน
ถึงแม้กาเซฟจะได้รับยศหัวหน้านักรบ แต่ท้ายที่สุดเขาก็แค่บังคับบัญชากองกำลังส่วนตัวของพระราชา และไม่มีอำนาจในการสั่งการเหล่าขุนนาง แม้ว่ามันเป็นไปได้ที่พระราชาจะออกคำสั่งให้ขุนนางฟังกาเซฟ พวกขุนนางหลายๆคนจะไม่พอใจที่ต้องรับคำสั่งจากสามัญชน และมันจะเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่พอใจในอนาคต พระราชาก็รู้ถึงสิ่งนี้ดีและไม่สามารถออกคำสั่งให้ส่งผลอย่างนั้น
ทั้งคู่ต่างพิจาณาถึงตำแหน่งของตัวเองในราชอาณาจักรและถอนหายใจอย่างหนัก (TLN: ถอนหายใจเฮือก เฮ่อ?) พวกเขาหันมามองหน้ากันและหัวเราะ
บทสนทนาอย่างนี้ควรพูดกันเวลาอื่น ไม่ใช่ก่อนเวลาที่จะมีการปะทะกันด้วยดาบและนองไปด้วยเลือด
"ถึงแม้พวกเราจะรอดชีวิตกลับไปบ้านได้ แต่มันก็มีอีกสมรภูมิที่กำลังรออยู่ . . ."
"ผมได้ยินมาว่านั่นเป็นเรื่องทุกอย่างของการที่เป็นขุนนาง? (TLN: สงครามน้ำลาย?)"
"หลังจากเรื่องนี้จบลง ผมจะยื่นคำร้องให้พระราชาเพิ่มคุณให้เป็นชนชั้นขุนนาง มันทำให้ผมโมโหที่นักรบของพระราชาไม่ได้มีส่วนร่วมกับขุนนางอย่างแข็งขันอย่างที่เขาควรเป็น"
แม้เรบุนจะดูเหมือนว่าเขากำลังพูดเล่น แต่กาเซฟสามารถบอกได้จากแสงในดวงตาของเขาว่า เขานั้นจริงจัง
". . . ตอนนี้พวกเราทิ้งเรื่องนั้นไว้ก่อน ทำไมพวกเราไม่พาตัวนักยุทธศาสตร์ของคุณมาที่นี่ล่ะ และฟังความเห็นของเขา . . . อ่า การเรียกตัวเขามาที่นี่จะเป็นเรื่องยาก"
"จริงๆแล้ว เขาได้รับมอบความไว้วางใจให้ดูแลค่ายหลักของผม ผมไม่กล้าเคลื่อนตัวเขาอย่างไม่จำเป็นระหว่างที่พวกเราไม่รู้ว่าจักรวรรดิกำลังทำอะไรอยู่"
แม้เหล่าขุนนางได้ให้คำปฏิญาณว่าจะทำงานร่วมกันเพื่อราชอาณาจักร แต่ท้ายที่สุด ทรัพย์สินของเรบุนก็ยังคงเป็นลำดับความสำคัญแรกของเขา มันเป็นตามธรรมดาที่เขาจะปฏิเสธ
"ฮาาาา . . . แม้ว่าพวกเราจะเคยทำมันมาหลายครั้งจนกลายเป็นกิจวัตร บางทีนี่อาจไม่ใช่การปฏิบัติที่ถูกต้องของเหตุการณ์ไม่ธรรมดานี้ แม้ไม่มีใครที่ต้องการให้จักรวรรดิต่อสู้จริงๆ แต่ถ้าพวกเขาเป็นคนเริ่มโจมตี มันจะดีกับพวกเราและขวัญกำลังใจของเรามากกว่าถ้าหากเราผ่านเรื่องลำบากนี้ไปได้"
กาเซฟรู้สึกได้ถึงความกังวลของกองทัพราชอาณาจักร เมื่อเขาพยายามค้นหาสาเหตุ เขาก็ย่นคิ้วของเขา
". . . ผมเข้าใจละ ถ้าคุณลองคิดดูเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่อาจเป็นแผนการของจักรวรรดิ ทำให้พวกเรากังวลมากพอก่อนที่พวกเขาจะเริ่มดำเนินการ มันเป็นเรื่องยากที่จะทำงานประสานและควบคุมทหารจำนวนมาก ดังนั้นแม้หน่วยไหนเกิดการสะดุด (TLN: ลังเล ถอยหนี) เพียงเล็กน้อยอาจขยายไปสู่ความพ่ายแพ้ได้หากมันเกิดขึ้นนานพอ กองกำลังจำนวนมากถึงยากในการเข้าโจมตี แต่เมื่อพวกเขาแตกจากกันและวิ่งหนี พวกเขาจะถูกล่าและฆ่าได้โดยง่าย มันเป็นหลักการเดียวกันที่สัตว์ใช้ในการล่า (TLN: ทำให้ฝูงแตกกระเจิง และไล่ล่าพวกที่หลุดออกมาจากฝูง)"
เรบุนที่ประหลาดใจมองตามสายตาของกาเซฟไปยังกองกำลังที่ดูกังวลด้านปีกซ้าย และเขาก็แสดงออกทางสีหน้าว่าเห็นด้วย
"นั่นมัน . . . ดูเหมือนพวกเขากำลังสับเปลี่ยนกองกำลังจากด้านในไปอยู่แถวหน้า"
"ถ้ามันเป็นแค่การจัดรูปแบบกองกำลังใหม่ . . ."
"นั่นมันธงของมาร์ควิสโบโลโรบ ดูเหมือนว่าแม่ทัพของปีกซ้ายกำลังเคลื่อนพลไปด้านหน้า"
ราชอาณาจักรวางตัวขุนนางของขุนนางแต่ละฝ่ายเอาไว้ที่ปีกทั้งสอง ระหว่างที่ฝ่ายราชวงศ์รวมกลุ่มกันที่ตรงกลาง
พระราชารันพอซซาที่สาม เป็นผู้บังคับบัญชาทั้งหมดของแนวรบตรงกลาง ระหว่างที่มาร์ควิสโบโลโรบบัญชาการปีกซ้าย
"นั่นมันแปลก เคลื่อนตัวผู้บังคับบัญชาไปอยู่ด้านหน้าของกองทัพ คุณเห็นนั่นมั้ยท่านกาเซฟ? มาร์ควิสกำลังใช้กองกำลังหัวกะทิที่จงรักภักดีกับเขา แผนของเขาคือการทำตัวเขาให้เด่นในการต่อสู้กับพวกอัศวินของจักรวรรดิ ภายใต้สายตาของพวกขุนนางที่มารวมตัวกัน วิธีนี้จะทำให้เขาสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะขุนนางแห่งกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของราชอาณาจักร"
เรบุนส่งสายตาท้าทายไปยังกาเซฟ คุณจะปล่อยให้คนอื่นได้รับเกียรติยศไปมากกว่ากองกำลังนักรบที่คุณรักหรือไม่ ดูเหมือนว่าเขาอยากจะบอกอย่างนี้
กาเซฟไม่ยอมติดกับดัก
"หน้าที่ของกองกำลังนักรบคือการปกป้องพระราชา พวกเราจะไม่เคลื่อนไหวหากไม่ได้รับคำสั่งโดยตรงของพระราชาแม้จักรวรรดิจะส่งสัญญาณเริ่มโจมตี ไม่มีหน้าที่ใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการรับประกันให้พระราชากลับสู่เมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย"
กาเซฟแตะดาบที่เอวของเขา
"หรือบางที ผมควรไปจัดการศัตรูด้วยตัวผมเอง"
"หรือนั่นมัน . . . หนึ่งในสี่สมบัติสืบทอดของราชอาณาจักร Razor Edge (TLN: ขอบมีดโกน? คมคมมาก? คมสัน? เอาเป็นทับศัพท์ไปก่อนละกันนะ เรเซอร์เอดจ์) . . . อ่า ผมเข้าใจละ"
มาร์ควิสเรบุน ก้าวไปด้านหลังเพื่อวิเคราะห์กาเซฟตั้งแต่หัวจรดเท้า
Gauntlets of Vitality (TLN: ถุงมือแห่งกำลังวังชา) ที่ลบล้างความเหนื่อยล้า, The Amulet of Immortal (TLN: เครื่องรางแห่งความเป็นอมตะ) ที่จะช่วยให้เขาฟื้นฟูรักษาบาดแผลของเขา, เกราะที่ถูกสร้างขึ้นจากอาดามันไทท์ โลหะที่แข็งที่สุดที่มนุษย์รู้จัก และถูกเสริมพลังด้วยเวทที่จะเบนการโจมตีถึงตาย และสุดท้าย Razor Edge ดาบเวทมนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความคิดที่ต้องการให้มันคมอย่างสมบูรณ์ ที่สามารถตัดโลหะเสริมพลังได้เหมือนตัดเนย
"บางทีสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักรคือตัวคุณเอง ที่สวมใส่อุปกรณ์ครบชุดด้วยสมบัติชิ้นอื่นๆ ผมเคยได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งราชอาณาจักรเคยมีสมบัติ 5 ชิ้น แต่ดูเหมือนว่ามันทั้งหมดถูกรวบรวมมาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น"
กาเซฟหน้าแดง (TLN: กาเซฟฟฟฟฟฟฟฟ) ที่เขาถูกยกย่องว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่านี่เป็นแค่การพูดหยอกล้อ
"อ่า . . . หยุดพูดเล่นเถอะครับมาร์ควิส พระราชาเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าตัวผม พระองค์ไว้วางใจในตัวผมที่เป็นสามัญชน ด้วยไอเท็มเหล่านี้ ถึงแม้ว่าท่านจะรู้ว่ามันหมายถึงอะไร"
"นั่นก็เป็นความคิดเห็นที่มีเหตุผล พูดตามตรงแล้ว ผมรู้สึกว่ามันเป็นการกระทำที่โง่ที่ประทานสมบัติให้กับคุณที่เป็นสามัญชน ทั้งหมดที่มันจะทำคือทำให้คนละทิ้งฝ่ายราชวงศ์กันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเรากำลังต่อสู้ร่วมกัน ผมก็ช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่า แท้จริงแล้วนี่อาจเป็นการกระทำที่ฉลาดมากของพระราชา แต่นั่นก็แค่ความคิดที่อยู่เหนือเหตุผล"
"ถ้าหากผมสามารถดีอย่างที่คุณคาดหวัง . . ."
กาเซฟมองออกไปที่กองกำลังที่หนาแน่นของอัศวินของจักรวรรดิ
ไม่มีผู้ใดที่เขายอมรับว่าเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งในจักรวรรดิ นอกเหนือไปจาก ผู้ร่ายเวทไตร (Triple Magic Caster) ฟูรุดะ พาราไดน์ การใส่อุปกรณ์ครบชุดอย่างนี้ เขาอาจจะชนะฟูรุดะได้ เขาคิดอย่างเคร่งขรึม
ในทางกลับกัน เขาไม่รู้สึกว่าเขาจะมีโอกาสสักนิดที่จะชนะไอนซ์ อูล โกน ได้
เขาไม่สามารถแม้แต่จะจิตนาการถึงความเป็นไปได้
ไม่ว่าเขาจะพยายามที่จะมองในแง่ดีอย่างมากเพียงใดก็ตาม ที่คิดว่าทำอย่างไรเขาถึงจะชนะ ความคิดเดียวที่ปรากฏคือตัวเขาถูกสังหารอย่างทันทีโดยผู้ร่ายเวทลึกลับผู้นั้น (TLN: นักทำนายกาเซฟ)
"เกิดอะไรขึ้น?"
"มะ - ไม่มีอะไร . . ."
เขารู้ว่าตัวเขาเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดของราชอาณาจักร การที่ยอมให้ตัวเขาแสดงถึงความอ่อนแอ จะลดขวัญกำลังใจของกองทัพ
"อ่า ไม่ . . . ผมกำลังคิดถึงเจ้าชายบาโบรผู้น่าสงสาร"
"เจ้าชายที่น่าสงสาร . . . หรือมันจะ . . . ผมเข้าใจแล้ว อย่างนั้นหรือ? ท่านกาเซฟก็รู้สึกเหมือนกัน . . . เข้าใจล่ะ"
"คุณพยายามจะพูดอะไร?"
"ผมหมายถึง อย่าบอกนะว่าท่านกาเซฟรู้สึกว่า การที่พระราชาส่งเจ้าชายไปที่หมู่บ้านคาร์เน เพื่อไม่ให้เขาสร้างชื่อเสียงได้ . . .?"
"ไม่ใช่ในกรณีนี้?"
เรบุนยิ้มเล็กน้อย
"ฮืม ก็นะ ผมไม่เห็นด้วย ผมรู้สึกว่าพระองค์จะไว้วางใจในตัวท่านกาเซฟมากจริงๆ"
มาร์ควิสเรบุนตัดสินใจที่จะอธิบาย เมื่อเขาเห็นหน้าของกาเซฟที่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด
"พระราชายอมรับในพลังของไอนซ์ อูล โกน คู่ต่อสู้ที่ผู้รับใช้ที่เขาเชื่อใจมากที่สุด นั่นคือท่านหัวหน้านักรบ ที่ระแวงระวังในตัวคู่ต่อสู้เป็นอันมาก แทนที่จะเสี่ยงชีวิตของบุตรชายอันเป็นที่รักกับการต่อสู้ที่ไม่รู้อะไรอย่างนี้ ท่านได้ส่งตัวเขาไปยังที่ที่ปลอดภัยกว่า ที่เขาสามารถทำบางสิ่งให้สำเร็จได้อย่างปลอดภัย (TLN: ขุ่นพ่อออออ ท่านเจ้าชายองค์นี้กลับไปเล่นสนุกในสถานที่ที่ท่านส่งไป กับสาวงามถึงสามสิบนาทีเลยทีเดียว ซึ่งทั้งคู่นั้นยังได้ละเลยความปลอดภัยอีกด้วย) . . . ถึงแม้ว่า ตามสัตย์จริง ตัวผมในอดีตจะอารมณ์เสียในการที่ชายคนหนึ่งซ่อนตัวลูกชายของเขาในที่ปลอดภัย ระหว่างที่คนอื่นส่งพวกลูกๆไปสนามรบ"
เรบุนยิ้มในเชิงของความเป็นพ่อ
"แน่นอน ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น ผมก็จะทำอย่างนั้นเหมือนกันเพื่อรับประกันสวัสดิภาพของลูกชายผม"
"อา มาร์ควิส ฟังดูเป็นสิ่งที่พวกพ่อๆจะพูดมากๆ"
เรบุนยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงทั้งความอ่อนโยนเสมอไปกับความสุขและความภูมิใจ รอยยิ้มที่กาเซฟไม่คุ้นเคยของชายคนนี้
"ก็นะ จริงๆแล้วผมก็เป็นพ่อคน และให้สัญญากับลูกชายไว้ว่า หลังจากการต่อสู้นี้จบลง ผมจะเล่นกับเขามากเท่าที่เขาต้องการเหมือนกับพ่อทั่วๆไป อา - เราออกนอกเรื่องกันแล้ว ทิ้งเรื่องนี้ไว้เถอะ . . . อย่างไรก็ตาม . . . ดูเหมือนว่าเจ้าชายบาโบรจะไม่ค่อยเข้าใจในมุมมองของพระราชา มันทำให้รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่พ่อไม่สามารถส่งความรู้สึกไปถึงลูกชายได้"
กาเซฟทุกข์ทรมานที่ไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไร มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่ไม่เคยมีลูกเป็นของตัวเอง กับการที่จะใส่ตัวเองเข้าไปในความคิดนั้น
"ยังไงซะ มันเป็นไปได้มั้ยที่พวกเขาจะลอบโจมตีเอ-รันเทลด้วยกองกำลังที่แยกออกไป? แม้มันอาจยอมรับไม่ได้ แต่พวกเราก็ไม่สามารถตัดสินว่ามันเป็นไปไม่ได้"
กาเซฟรู้สึกว่าการที่เขาเปลี่ยนบทสนทนานั้นไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก ถึงแม้เขาจะประหลาดใจ แต่เรบุนก็ตามน้ำไป
"มันไม่ใช่เรื่องง่ายในการเข้าโจมตีเอ-รันเทล ที่ปกป้องโดยกำแพงที่ล้อมรอบสามชั้น แม้กองกำลังที่เหลือทั้งสองของจักรวรรดิจะระดมทัพมาทั้งหมด ก็เป็นงานยากสำหรับพวกเขา นักยุทธศาสตร์ของผมพูดว่า มันเป็นไปไม่ได้"
"ใช่ไหม? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาใช้สัตว์ที่บินได้ หรือใช้กองกำลังลับอะไรประมาณนั้น?" (TLN: จำไมจริงกาเซฟ -*-)
"ก็ยังไม่น่าจะเป็นไปได้ มันเป็นการยากมากในการเข้าควบคุมเมืองด้วยกำลังเพียงเล็กน้อย . . . พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ท่านกาเซฟ คุณรู้ถึงเงื่อนไขที่จำเป็นในการพิชิตเอ-รันเทลหรือไม่?"
กาเซฟส่ายหัว
"หนึ่งสิ่งที่จำเป็นคือ การเผชิญหน้ากับราชอาณาจักรในศึกสงครามและต้องได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ถ้าผู้รุกรานชนะอย่างฉิวเฉียด การปกครองประชาชนที่ถูกกำราบจะเป็นเรื่องยาก จริงๆอย่างน้อย พวกประชาชนคงไม่ทำตัวดีกับผู้รุกรานและจะก่อจราจลเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ ดังนั้นถึงแม้จักรวรรดิจะใช้กองกำลังที่แยกออกไปเข้าโจมตีเอ-รันเทล ตราบเท่าที่ทหารของพวกเรายังคงมีกำลัง พวกทหารจะเข้าสู้อย่างดุเดือดเพื่อชิงเมืองกลับคืน เช่นนี้จักรวรรดิต้องชนะอย่างเด็ดขาด นั่นจะทำให้ประชาชนหวาดกลัวและยอมจำนน และพวกทหารจะไม่สามารถทำอะไรต่อได้"
กล่าวคือ จักรวรรดิต้องชนะที่นี่ นอกจากนี้ยังต้องได้รับชัยชนะที่สมบูรณ์และเด็ดขาด นั่นจะทำให้ราชอาณาจักรไม่เสี่ยงที่จะชิงเอ-รันเทลกลับ
ทันใดนั้น กาเซฟรู้สึกว่าเขาได้ชิ้นส่วนของปริศนาทั้งหมด อย่างไรก็ตามการที่จะต่อมันเข้าด้วยกันเกินกำลังของเขา
เสียงรบกวนทื่อๆตอแยกาเซฟต่อ
"เป็นอะไรไป ท่านกาเซฟ?"
"ไม่ . . ."
กาเซฟต้องการที่จะบอกเรบุนเกี่ยวกับชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายของปริศนาที่เขารวบรวมมาได้สำเร็จ เขาเชื่อว่า เรบุนกับสติปัญญาที่เหนือกว่า จะสามารถสกัดข้อมูลเชิงลึกที่ตัวเขาทำไม่ได้ออกมาได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนั้นดวงตาของมาร์ควิสได้มองกลับไปยังกองทัพของจักรวรรดิ
"ท่านกาเซฟ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว"
กองทัพของจักรวรรดิแยกออกเป็นสองฝั่ง ขณะที่กาเซฟกำลังสงสัยว่าพวกเขาวางแผนจะโจมตีปีกซ้ายและขวาของกองทัพของราชอาณาจักร เขาได้เห็นธงที่ไม่คุ้นเคยยกสูงขึ้นไปในอากาศ
มันเป็นธงที่กาเซฟไม่เคยเห็นมาก่อน ตกแต่งประดับด้วยตราที่แปลกประหลาด ที่ไม่ได้เป็นของทั้งราชอาณาจักรและจักรวรรดิ กองทัพที่ถือธงได้เคลื่อนทัพ
ทุกดวงตามองไปที่กองทัพนั้น
จากนั้น . . . กาเซฟก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว เรบุนผู้ที่ยืนข้างๆเขามองเห็นสิ่งเดียวกันกับที่เขาเห็น กลืนน้ำลายเสียงดัง รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกอย่างนี้ เขารู้สึกได้ถึงรสขมที่พุ่งขึ้นถึงด้านหลังปากของเขา (TLN: พุ่งขึ้นมาจากคอ อยากอ๊วก?) และหัวใจของเขาเต้นอย่างบ้าคลั่ง
กองทหารอันน่าขนลุก (TLN: หรือแปลว่า น่าเกลียดน่ากลัว มหึมา ผิดปกติ)
สิ่งที่ปรากฏคือกลุ่มของผู้ขี่สัตว์ (TLN: กองทหารม้า?) จำนวนประมาณ 500 จำนวนที่ดูเหมือนไม่สำคัญโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับอีกสองกองทัพที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่
แต่อัศวินพวกนั้น . . . พวกเขาแปลกประหลาดอย่างมาก พวกเขาดูเหมือนกับว่าแผ่รังสีความกดดันออกมาสู่อากาศ ที่ทำให้เขารู้สึกได้แม้อยู่ห่างไกล
มันได้ปลุกความทรงจำของกาเซฟเมื่อตอนที่เขาอยู่ที่หมู่บ้านคาร์เน ไอนซ์ได้พูดไว้ว่ามันเป็นอัศวินที่เขาสร้างขึ้น แต่จริงๆแล้วมันคือสัตว์ประหลาด ที่นี่มันมีจำนวนประมาณ 200 ตัว ถือโล่ขนาดมหึมาและสวมใส่เกราะหนามเหมือนดั่งที่เขาจำได้จากอดีตเมื่อตอนนั้น
ส่วนที่เหลือดูเหมือนกับทหารที่ดูโหดเหี้ยม (TLN: หรือแปลว่า ป่าเถื่อน ไม่มีความเป็นมนุษย์ (พูดถึงว่าเหมือนกับกองกำลัง 200 ตัวก่อนหน้า)) แต่สวมใส่เกราะหนัง และติดอาวุธด้วยขวาน หอก และหน้าไม้ หรืออาวุธที่คล้ายคลึงกัน
ถ้าที่พูดก่อนหน้าคืออัศวิน ส่วนหลังสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักรบ
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอะไร พวกเขานั้นไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็นสัตว์ประหลาด ลึกลงไปถึงชั้นไขกระดูก
แล้วก็ มันมีสัตว์ประหลาดที่พวกเขากำลังขี่อยู่ เป็นสัตว์ที่ทำจากกระดูก ที่มีหมอกเลื้อยพันไปมาแทนที่จะเป็นเนื้อและเลือด หมอกส่องแสงระยับไปทั่ว น้ำหนองสีเหลืองและเขียวมรกต
ขนลุกไปทั่วทั้งตัวของเขา นี่มันแย่
นี่มันแย่มากๆ
กาเซฟไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดถึงสถานการณ์ ที่ชัดเจนได้มากกว่านี้
". . . ดูเหมือนว่าจักรวรรดิได้เกณฑ์สัตว์ประหลาดเข้ากองทัพ นี่มันทำให้ประหลาดใจทีเดียว ซึ่งมันทำให้ผมขนลุก"
". . . ไม่ ไม่ มาร์ควิสเรบุน นี่ไม่ใช่กรณีนั้น สิ่งที่มาร์ควิสกำลังรู้สึกตอนนี้ . . . สิ่งที่เติมเต็มร่างกายของคุณที่ทำให้ขนลุก . . . นั่นต้องไม่ใช่จากความประหลาดใจอย่างแน่นอน"
"แล้วมันคืออะไรหรือ?"
กาเซฟตอบเรบุนอย่างห้วนๆ ผู้ที่กำลังพูดไม่ออก
"ความตาย ความกลัวในความตาย ที่มีอยู่ในตัวของทุกสิ่งมีชีวิต"
หันสายตาของเขาจากเรบุนที่กำลังตัวสั่นอย่างชัดเจน กาเซฟมองไปที่กองทัพของจักรวรรดิ
"ม้ากำลังตกใจกลัว แม้แต่ม้าที่ถูกฝึกฝนให้ไม่มีความรู้สึก ก็ยังไม่สามารถที่จะเคลื่อนไปด้านหน้าได้เมื่อเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น"
". . . พวกมันคืออะไร? กองกำลังลับของจักรวรรดิ?"
". . . เป็นไปไม่ได้ มอนส์เตอร์พวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถควบคุมได้ อย่าว่าแต่เอาไปใช้เลย!"
กาเซฟไม่รู้เกี่ยวกับอัตลักษณ์ที่แท้จริงของมอนส์เตอร์เหล่านี้ แต่สัญชาติญาณนักรบได้ส่งข้อมูลที่เพียงสำหรับเขาที่จะพูดสรุปได้ว่า
"พวกมัน . . . พวกเขาต้องเป็นอัศวินของไอนซ์ อูล โกน!"
"นั่นมันคือ . . . กองทัพของผู้ร่ายเวทที่คุณกลัว?!"
"มาร์ควิสเรบุน! ได้โปรดรวบรวมอดีตนักผจญภัยโดยทันที! เพื่อที่จะวางแผนต่อไปของพวกเรา พวกเราจำเป็นต้องยืมประสบการณ์ของพวกเขาที่เคยต่อสู้กับมอนส์เตอร์มามากมายและรอดชีวิตมาได้!"
"เข้า -"
เขาต้องการที่จะตอบว่าเขาเข้าใจแล้ว แต่ก่อนจะได้พูด พวกองครักษ์ของเขาก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวกันก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมาย พวกเขารู้ถึงภัยคุกคามที่เผชิญ มากกว่าตัวของกาเซฟ
"มาร์ควิส!"
อดีตนักผจญภัยขี่มาบนหลังของม้า
"คุณเห็นมันมั้ย คุณรู้สึกถึงมันใช่มั้ย?"
ด้านหน้าของนักผจญภัยคือหัวหน้าของพวกเขา พาลาดินแห่งพระเจ้าแห่งไฟ (paladin of the Fire God) บอริสุ อะคุเซรูซัน (Boris Axelson)
เสียงของเขาสั่นด้วยความกลัวที่เขาไม่อาจซ่อนมันได้ เรบุนก็ไม่สามารถพูดได้ กาเซฟเข้าใจว่าทำไม
เสียงพึมพำของความกระสับกระส่าย เพิ่มมากขึ้นจากเหล่านักผจญภัย และกองกำลังจำนวนมากได้มารวมตัวกันที่นี่
นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับมารยาท กาเซฟพูดกับเขา
"- บอกผม! นั่นคืออะไร? ไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว! ได้โปรดบอกผมทุกเรื่องที่คุณรู้ มาตอนนี้!!"
บอริสุกำสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ห้อยรอบคอของเขา มันเป็นการแสดงออกถึงการปกป้องคุ้มครอง (TLN: ปัดเป่าภัยร้าย? อธิษฐาน? สวดมนต์?)
". . . พวกเราไม่แน่ใจ แต่พวกเราเชื่อว่าสัตว์ประหลาดที่พวกเขาขี่อยู่นั่นคือ มอนส์เตอร์ในตำนานที่รู้จักกันในชื่อ โซลอีทเตอร์ (TLN: ถ้าเป็นแฮรี่พอตเตอร์ คงจะแปลว่า ผู้เสพวิญญาณ) พวกมันเป็นสัตว์ประหลาดอันเดดที่หิวกระหายดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิต ตามเรื่องเล่าลือ พวกมันเคยปรากฏตัวและทำลายล้างเมืองหนึ่งของอาณาจักรบีสต์เมน (Beastmen Kingdom)"
"แล้ว . . . มีจำนวนผู้เสียชีวิตเท่าไหร่ที่นั่น?"
หลังจากที่เงียบเป็นเวลานาน คำพูดเรียบๆของบอริสุก็เอ่ยขึ้น
"- หนึ่งแสน"
ลมหายใจจุกไปที่คอหอยของกาเซฟ
". . . เพียงแค่โซลอีทเตอร์สามตัวได้ทำลายล้างเมืองทั้งเมืองที่มันปรากฏตัว 95% ของประชากรที่อาศัยอยู่ที่นั่น มากกว่าหนึ่งแสนคนถูกฆ่า มันถูกปล่อยร้างและเป็นตำนานเมืองที่เงียบสงัด"
ความเงียบที่หนาหนักปกคลุมทั่วทั้งกลุ่ม
". . .และมันมีพวกมันห้าร้อยตัวด้านนอกนั่น?"
ไม่มีใครที่สามารถรวบรวมกำลังเพื่อตอบเรบุนได้ กาเซฟบังคับตัวเองให้ทำลายความเงียบ
"อย่างที่ผมได้พูด ผมพบว่ามันยากที่จักรวรรดิสามารถกำราบมอนส์เตอร์ระดับนั้นได้ด้วยพลังของพวกเขา แม้แต่ผู้ร่ายเวทที่ทรงพลังคนนั้น ฟูรุดะ พาราไดน์ ก็ไม่น่าจะสามารถทำได้ นั่นหมายความว่า -"
เขาไม่จำเป็นต้องจบประโยคของเขา มาร์ควิสเรบุนก็เข้าใจ
"นั่น . . . คือพลังของไอนซ์ อูล โกน? ถ้าเช่นนั้น เช่นนั้น . . . สัตว์ประหลาดที่ขี่เจ้าพวกสัตว์ประหลาดพวกนี้อยู่คืออะไร?"
"นั่น . . ."
นักผจญภัยมองกันอย่างกังวล
"นั่น พวกเราไม่ทราบ พวกเรารู้แต่ว่าพวกมันอันตรายมากๆ ไม่ ผมต้องขอโทษ ผมไม่ควรใช้คำที่คลุมเครืออย่างอันตราย อย่างไรก็ตาม ผมคิดคำอื่นไม่ออกเพื่อจะบรรยายถึงสิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าในขณะนี้"
"ถ้าเช่นนั้น เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี? ท่านกาเซฟ?"
กาเซฟตอบอย่างสั้นๆโดยไม่เปลืองคำพูด
"ถอยทัพ"
พวกเขารู้ว่าศัตรูได้เตรียมกองทัพอันน่าสะพรึงกลัว ด้วยเหตุนี้ จะมีอะไรอย่างอื่นที่พวกเขาทำได้นอกจากจะหนี?
"ไปแนะนำพระราชาให้ออกคำสั่งถอยท -"
กาเซฟยังไม่ทันได้พูดจบประโยค
นั่นเป็นเพราะผู้ร่ายเวทผู้สวมหน้ากากที่ยืนอยู่ด้านหน้าของศัตรู ด้านขวาของเขาคือคนที่ตัวเตี้ยที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมและเสื้อคลุม ด้านซ้ายของเขา ผู้ที่ยืนอยู่คือหนึ่งในสี่อัศวินแห่งจักรวรรดิ
แม้ว่าจะอยู่ในระยะขนาดนี้ กาเซฟก็ไม่เข้าใจชายด้านหน้าผิดไปเป็นคนอื่น . . .
"ท่านโกน"
"นั่นคือผู้ร่ายเวท ไอนซ์ อูล โกน?!"
"เขาคือคนที่อัญเชิญโซลอีทเตอร์งั้นหรือ? ตัวเขา? มาร์ควิสเรบุน พวกเรา -"
นักรบผู้กล้าหาญที่ต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน กลืนน้ำลายอย่างหนัก (TLN: กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่) และพูดต่อด้วยเสียงที่ต่ำลง
"- ให้ตาย พวกเราได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากอะไรเนี่ย?!"
ไอนซ์โบกมือของเขา เกิดการตอบสนองตาม ด้วยวงเวทมนตร์ที่มีลักษณะเป็นรูปโดม มีรัศมีประมาณสิบเมตร ก่อตัวขึ้นมา ที่มีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง คนที่อยู่ด้านซ้ายและขวาต่างถูกห้อมล้อมด้วยมัน แต่เหมือนพวกเขาจะไม่เป็นอะไร เขาน่าที่จะไม่ทำร้ายฝ่ายเดียวกัน
ภาพเหมือนฝันได้ดึงดูดความสนใจของทุกคน แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่านี่เป็นเหตุฉุกเฉิน
วงเวทมนตร์ส่องแสงสีขาวซีด และเหล่าสัญลักษณ์โปร่งแสงปรากฏขึ้นไปทั่ว เครื่องหมายเปลี่ยนแปลงไปด้วยความเร็วไคโลโดสโคปิก (TLN: ซับซ้อน หลายสี ลานตา ผสมผสาน หลายมุม) ผลัดเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์รูนและตัวหนังสือที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
กองกำลังของราชอาณาจักรร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ มันเหมือนกับการมองดูการแสดงแสงไฟที่น่าตื่นตา และมันไม่มีความกลัวหรือความตึงเครียดในเสียงของพวกเขา อย่างไรก็ตาม พวกคนที่เฉียบแหลมท่ามกลางพวกเขา เริ่มมองไปยังรอบด้านด้วยความไม่สบายใจอย่างชัดเจน
"ผมจะกลับไปยังกองทัพของผม ไม่มีเวลาที่จะให้เสียแล้ว พลังของ ไอนซ์ อูล โกน ไม่สามารถวัดได้ การสู้กับเขาเป็นสิ่งที่ผิดพลาดตั้งแต่แรกเริ่ม สิ่งที่พวกเราทำได้คือลดจำนวนคนที่จะตาย และในเวลาเดียวกันพวกเราต้องรีบกลับไปยังเอ-รันเทลให้เร็วที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ท่านกาเซฟ ได้โปรดปกป้องพระองค์ หลังจากนั้น ล่าถอยโดยทันทีอย่าได้ชักช้า!"
ความสิ้นหวังที่บดบังใบหน้าของเรบุนได้จางหายไป
"ครับ! ถึงแม้ผมจะไม่เชื่อมั่นในความสามารถของผมมากนัก แต่ผมจะปกป้องคนของพระองค์แน่นอน ดังนั้น ได้โปรดถอยกลับมาให้เร็ว -"
"แน่นอนผมจะ พวกเราจะวิ่ง - พวกเราจะหนีให้เหมือนกระต่าย"
"ถ้าเช่นนั้น ผมขอให้คุณสวัสดิภาพ (TLN: ขอให้อยู่ดี ขอให้โชคดี?) มาร์ควิสเรบุน"
"เช่นกัน ท่านกาเซฟ!"
เหล่าชายที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของพลังและความคิดกลยุทธ์ของกองกำลังราชอาณาจักร ต่างรีบเร่งทำตามแผนที่ตัดสินใจ แต่ทว่า -
- มันสายเกินไป
VVVVVVVVVV
ไม่มีใครเลย
หลังจากที่ไอนซ์กางวงเวท นั่นคือสิ่งที่เขาได้คิด
ไม่มีผู้เล่นอื่นอยู่ในราชอาณาจักร
เวทมนตร์ขั้นสุดยอด (super-tier magic) ของอิกดราซิลนั้นทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ
ด้วยเหตุนี้ ระหว่างที่มีการต่อสู้ขนาดใหญ่ การจัดการคนที่ร่ายคาถาขั้นสุดยอด ลำดับความสำคัญนั้นอยู่อันดับสูงสุดอย่างแน่นอน
มันมีหลายวิธีในการขัดขวางการร่ายเวท การซุ่มโจมตีด้วยการเทเลพอร์ต กระหน่ำทิ้งระเบิดบนพรมเวทมนตร์ ลอบยิงจากระยะที่ไกลมากๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีการโจมตีพวกนี้พุ่งมาหาไอนซ์ นั่นพิสูจน์ได้ว่าไม่มีผู้เล่นจากอิกดราซิลอยู่ที่นี่ (TLN: . . .)
ภายใต้หน้ากาก เขายิ้ม เป็นความจริงที่ไม่มีใครได้เห็น แน่นอนว่า โครงกระดูกของไอนซ์นั้นยิ้มไม่ได้
ยิ้มที่ขมขื่น เจือไปด้วยความสุขจางๆ เน้นถึงการต่อสู้ภายในใจของไอนซ์
"ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคอยทำตัวเป็นเหยื่อล่ออีกต่อไป?"
ความสุขของเขามาจากความจริงที่ว่าตัวเขาไม่เจอผู้เล่นจากอิกดราซิล
ไอนซ์ไม่ถูกนับรวมให้อยู่ในกลุ่มผู้เล่นยอดเยี่ยมของอิกดราซิล มันมีคนอื่นๆที่เก่งกว่าเขา และโอกาสในการรอดชีวิตของเขาเมื่อต่อสู้กับผู้เล่นที่เก่งกว่าก็ไม่สูง ตอนที่ยังเล่นเกมส์ ความแข็งแกร่งของไอนซ์เกิดจากความรู้ของเขา แม้ว่าเขาจะชนะการต่อสู้ PvP อย่างสม่ำเสมอจนน่าแปลกใจ แต่นั่นก็หลังจากที่เขายอมแพ้ในการต่อสู้รอบแรกของแต่การแข่งขัน
เพราะเขาชำนาญอย่างมากในการใช้ข้อมูลที่ได้มาจากการรวบรวม ความสามารถเชิงเทคนิคของไอนซ์นั้นสูงอย่างน่าประหลาดใจ ในทางกลับกันหากเขาต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่ไม่เคยเผชิญหน้ากันมาก่อน โอกาสที่เขาจะแพ้นั้นสูงมาก
ไอนซ์ตระหนักดีในความสามารถของเขา และขอบคุณอย่างลึกซึ้งที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งที่เขาไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เสียใจกับความจริงที่ว่า เขาไม่สามารถหาคนที่ล้างสมองแชลเทียร์ท่ามกลางศัตรูของเขา ผู้ที่ซึ่งถือไอเท็มระดับเวิร์ลคลาส (World-Class)
ความเกลียดชัง ทั้งหนาและอัดแน่น รวมตัวอยู่ภายใต้ใจของไอนซ์ แม้ว่าอารมณ์ที่รุนแรงจะถูกปรามโดยสกิลพาสซีฟ (Passive) แต่ความรู้สึกเล็กน้อยนั้นยังคงเหลืออยู่ในตัว
ไอนซ์เปิดมือของเขา ในนั้นมีนาฬิกาทรายขนาดเล็กอยู่
ถ้าเขาใช้แคชไอเท็ม เขาจะสามารถร่ายคาถาขั้นสุดยอดเสร็จได้โดยทันที เหตุผลที่เขายังไม่ใช้มัน ก็เพราะต้องการล่อผู้เล่นที่มีความเป็นไปได้ จากอิกดราซิลออกมา อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีใคร มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอเวลาร่ายคาถาที่ต้องใช้เวลานาน เขารู้สึกโง่ที่ต้องยืนนิ่งๆอยู่ในวงคาถาโดยที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้ (TLN: ท่านไอนซ์จะรีบไปไหน -*-)
ระหว่างการต่อสู้กับแชลเทียร์ เขาไม่ได้ใช้มันอย่างฟุ่มเฟือย ตอนที่ปะทะกับลิซาร์ดแมน เขาไม่ได้ใช้คาถาโจมตี ดังนั้น -
"ตอนนี้ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร? ข้าตั้งตารอคอยเลยทีเดียว"
- คาถาโจมตีขั้นสุดยอดจะทำอะไรกับกองทัพของราชอาณาจักร?
แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นคาถาที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษในอิกดราซิล แต่ผลลัพธ์ของมันจะเป็นอย่างไรในโลกนี้?
ทันใดนั้น ไอนซ์ก็ขมวดคิ้วที่ไม่มีของเขา
ตอนนี้เขารู้สึกกลัวตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากต้องตาย แต่สิ่งที่เขารู้สึกกับพวกเขา นั้นก็แค่ความรู้สึกเวทนาอย่างเลือนๆ มันไม่แม้แต่จะเป็นความรู้สึกโหดร้ายที่เขาจะรู้สึกเมื่อเหยียบมด มันไม่มีอะไรที่เหมือนอย่างนั้นเลย (TLN: ท่านไอนซ์ ลืมความเป็นมนุษย์ไว้ที่แห่งหนใด)
ทั้งหมดที่เขารู้สึกนั้นคือความต้องการที่จะรู้ว่า การกระทำของเขาจะก่อให้เกิดอะไรขึ้น และแน่นอน ผลประโยชน์เขาจะเป็นคนเก็บเกี่ยวให้กับตัวเอง - เพื่อมหาสุสานใต้ดินแห่งนาซาริก
ไอนซ์ส่งแรงไปสู่มือของเขา
ธุลีจากนาฬิกาทรายที่แตกเป็นเสี่ยงๆลอยทวนลมและเข้าไปสู่วงเวทรอบๆตัวของไอนซ์
นั่นเอง - คาถาขั้นสุดยอดเปิดใช้งาน
"อิอา ชุบ นิกกูรัธ!" (Ia Shub-Niggurath)
ลมสีดำพัดไปทางกองทัพของราชอาณาจักรที่เพิ่งเปลี่ยนขบวนทัพเสร็จ
ถ้าจะพูดให้ถูกคือ มันไม่มีลม ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว ตั้งแต่วัชพืชที่โตบนที่ราบ หรือเส้นผมบนศีรษะของทหารของราชอาณาจักร
มันมีคนอยู่ 70,000 คนอยู่ทางปีกซ้ายของกองทัพของราชอาณาจักร ทุกๆคนต่างถูกฆ่าโดยไม่มีข้อยกเว้น ณ จุดนั้น
TLN: อาจมีการแปล เข้าใจ หรือใส่เนื้อหาผิดพลาดไปบ้าง ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วย
TLN: คอมเมนต์ด้านล่างได้โดยไม่ต้องมี account
รูปภาพจาก MDSiapno001
โอสต์ฝากรูปจาก https://www.flickr.com
Comments
Post a Comment